การส่งต่อมรดกนั้น มีหลายรูปแบบ การจัดการให้เรียบร้อยก่อนเราจะเสียชีวิตลง จึงเป็นความสำคัญ ประหยัดเวลาการจัดการเอกสารต่าง ๆ ในอนาคต ทรัพย์สินที่เรามี จึงต้องมีการระบุให้ชัดเจน หากเสียชีวิตโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ มรดกจะเป็นของใคร ถ้าไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้
คำตอบคือ จะตกทอดเป็นของทายาทโดยธรรม 6 ลำดับดังนี้
1ผู้สืบสันดาน คือ ลูก หลาน เหลน ลื้อ
2.บิดามารดา
3.พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
4.พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน
5.ปู่ ย่า ตา ยาย
6.ลุง ป้า น้า อา
คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีชีวิตอยู่ก็เป็นทายาทโดยธรรม
ซึ่งขั้นตอนในการจัดการมรดกโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมนั้น ใช้เวลาในดำเนินการ
อย่าคิดว่าการทำพินัยกรรม คือ ลางไม่ดี การเตรียมเขียนพินัยกรรมไว้จึงเป็นทางออกอีกวิธี ที่คนเลือกทำก่อนเสียชีวิต
การเขียนพินัยกรรมมีกี่วิธี
การเขียนพินัยกรรมนั้น มี 5 วิธี
1. พินัยกรรมแบบธรรมดา
● ต้องทำเป็นหนังสือ โดยจะเขียนหรือพิมพ์ก็ได้
● ต้องลงวัน เดือน ปี ในขณะที่ทำ
● ต้องลงลายมือชื่อต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คนพร้อมกัน โดยจะลงลายมือชื่อหรือพิมพ์นิ้วมือก็ได้
2.พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ
● ต้องเขียนด้วยลายมือของตนเองทั้งฉบับ ใช้พิมพ์ไม่ได้
● จะมีพยานหรือไม่มีก็ได้
● ต้องลงวัน เดือน ปี ในขณะที่ทำ
● ต้องลงลายมือชื่อ จะใช้ลายพิมพ์นิ้วมือหรือเครื่องหมายอื่นไม่ได้
3.พินัยกรรมทำเป็นเอกสารฝ่ายเมือง
ยื่นคำร้องขอให้นายอำเภอ/ผู้อำนวยการเขต ณ อำเภอหรือเขตใดก็ได้ ดำเนินการให้
4.พินัยกรรมทำแบบเอกสารลับ
ยื่นคำร้องขอให้นายอำเภอ/ผู้อำนวยการเขต ณ อำเภอหรือเขตใดก็ได้ โดยปฏิบัติดังนี้
● ต้องมีข้อความเป็นพินัยกรรมและลงลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรม
● ผู้ทำพินัยกรรมต้องผนึกพินัยกรรม แล้วลงลายมือชื่อคาบรอยผนึก
● ผู้ทำพินัยกรรมต้องนำพินัยกรรมที่ผนึกนั้น ไปแสดงต่อนายอำเภอและพยานอย่างน้อย 2 คน
● เมื่อนายอำเภอ/ผู้อำนวยการเขตจดถ้อยคำของผู้ทำพินัยกรรม และวัน เดือน ปี ที่ทำพินัยกรรมมาแสดงไว้ในซองพับและประทับตราประจำตำแหน่งแล้ว นายอำเภอ/ผู้อำนวยการเขต ผู้ทำพินัยกรรม และพยานลงลายมือชื่อบนซองนั้น
5. พินัยกรรมทำด้วยวาจา
ใช้เฉพาะกรณีที่เกิดเหตุการณ์พิเศษ ไม่สามารถทำพินัยกรรมตามแบบอื่นที่ได้ เช่น ตกอยู่ในอันตราย ใกล้เสียชีวิต เกิดโรคระบาด หรือ สงคราม ทั้งนี้ พินัยกรรมจะหมดอายุภายใน 1 เดือนนับจากผู้ทำพินัยกรรมกลับมาทำพินัยกรรมแบบอื่นได้
● แสดงเจตนาต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คน ซึ่งอยู่พร้อมกัน ณ ที่นั้น
● พยานทั้งหมดต้องไปแสดงตนและแจ้งให้นายอำเภอทราบถึงข้อความพินัยกรรม และสาเหตุที่ต้องทำพินัยกรรมด้วยวาจา
สำหรับพินัยกรรมประเภทที่ 3-5 จะเป็นการทำที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบ้านเมือง วิธีที่ 1-2 สามารถทำได้เอง
การทำพินัยกรรมจัดการมรดก มีเรื่องของการเสียภาษีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย การวางแผนมอบมรดกจึงต้องนำเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง เรียกว่าเสียภาษีมรดก
● ภาษีมรดก เกิดขึ้นเมื่อมีการเสียชีวิตของเจ้าของมรดกและส่งต่อทรัพย์สินไปตามพินัยกรรม ซึ่งทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีมรดก จะเสียเฉพาะส่วนเกิน 100 ล้านบาท ในอัตรา 10% เมื่อผู้รับมรดกเป็นบุคคลธรรมดา เช่น ผู้รับตามพินัยกรรม หรืออัตรา 5% เมื่อผู้รับมรดกเป็นบุพการีหรือทายาท โดยถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ให้คำนวณจากราคาประเมิน ส่วนหลักทรัพย์ให้คำนวณจากราคาปิดตลาดในวันที่ได้รับมรดก (ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เวปไซต์ของกรมสรรพากร)
การเลือกส่งต่อมรดกเป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
หากมีมรดกจำนวนมากและไม่สามารถทยอยมอบให้ในเร็ววันได้ ก็ควรเปลี่ยนทรัพย์สินที่เสียภาษีมรดกเป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การทำประกันชีวิตเพื่อรับสินไหมมรณกรรม โดยระบุผู้รับประโยชน์ในกรมธรรม์เป็นทายาทที่เราต้องการมอบทรัพย์สินก้อนสุดท้ายไว้ให้ เพราะประกันชีวิตคือสินค้าที่ปลอดภาษี เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่เกิดขึ้นในขณะหรือภายหลังผู้เอาประกันเสียชีวิต ซึ่งได้รับการยกเว้นตามมาตรา 42(13)แห่งประมวลรัษฎากร
สำหรับใครที่สนใจอยากให้ช่วยวางแผนการจัดการมรดกในด้านการประกันชีวิต ติดต่อสอบถามได้ทุกช่องทางตามลิงค์ที่ด้านล่าง